เราเกิดมาทำไม กับชาวนาอุ้ม สิริยากร
ชอบดาราผู้หญิงคนหนึ่ง เนื่องจากเป็นคนที่ตากับปากยิ้มหวานได้ และเป็นผู้หญิงที่ถ้าให้นิยามหญิงไทย ก็น่าจะรูปร่างบอบบาง โครงหน้าอย่างนี้ ชีวิตในวงการบันเทิงของดาราคนนี้ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย ผกผันไปเรื่อยๆ มีข่าวออกมาเป็นระลอกๆ เเต่ไม่ใช่เรื่องลบๆ จะออกไปเเนวๆค้นหาอะไรซักอย่าง เเล้วเหมือนมันยังไม่ใช่ ก็จะหายไป แล้วก็โผล่มาให้เเปลกใจ คลายความคิดถึงกันไป จนครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นข่าว คือ การไปเป็นชาวนา ซึ่งไม่เเปลกใจแล้ว เพราะคนเขียนก็เริ่มชินล่ะ ว่าถ้าทำอะไรเเบบธรรมดาๆเเบบธุรกิจดารา ก็คงไม่มีวันได้ยินข่าวดาราสาวคนนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่า การที่ประเทศไทยมีชาวนาเป็นดารา คือ เธอมีชีวิตที่เจอกับโรคที่กำลังระบาดเป็นอย่างหนักในกลุ่มคนไทยในปัจจุบัน และยังไม่ยอมรับว่าเป็น หรือเป็นเเล้ว เเต่คนรอบข้างไม่เข้าใจว่า นี่คืออาการของคนป่วย การเยียวยาโรคที่ มองหา
ทางกายภาพไม่ชัดเจน เป็นการยากที่จะบำบัด ให้หายขาด คนใกล้ตัวต้องเรียนรู้โรคนี้ด้วยความเข้าใจ และผู้ป่วยเอง ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็น ลองอ่านบทสัมภาษณ์ดาราคนนี้ดู เเล้วลองพิจารณาว่า เรามีอาการอย่างนี้หรือเปล่า โดยเฉพาะโปรดสังเกต สิ่งที่เธอใช้บำบัดตัวเองให้หายขาด คือหลักวิชาทางพุทธศาสนา ที่ครั้งหนึ่งเธอปฏิเสธ แต่เมื่อมีคำถามจากโรคที่เธอเป็นว่า เราเกิดมาทำไม การเยียวยาทางปรัชญาจึงไม่ใช่ยาจากคุณหมอ เเต่เป็นเเนวทางการเปลี่ยนความคิด เเละใช้หลักปฏิบัติสมาธิมาตอบคำถาม เเละรักษา วันนี้เราจึงได้ยินคำตอบ“วันนี้ฉันคือชาวนา ผู้ปรารถนานิพพาน”
บทจบของการค้นหาความสุขของชีวิตอันยาวนานของผู้หญิงที่ชื่อ
อุ้ม สิริยากร พุกกะเวส
คิดว่าคงทำมาหลายภพหลายชาติค่ะ (ยิ้ม) แต่ที่นึกขึ้นได้และเริ่มปฏิบัติคือ ตอน ป. 4 อายุ 10 ขวบ อุ้มเรียนอยู่โรงเรียนเล็กๆ แถวสมุทรปราการ ที่โรงเรียนสอนสวดมนต์และนั่งสมาธิ ทุกศุกร์บ่ายจะเป็นวันที่เราสวดมนต์กัน อุ้มได้เป็นตัวแทนนักเรียนในการนำสวด พอสวดเสร็จก็นั่งสมาธิ รู้สึกว่าชอบ กลับมาถึงบ้านก็มานั่งเอง มีวันหนึ่งตอนกลางคืนจู่ๆ ก็ไปนั่งสมาธิหน้าพระมืดๆ คนเดียว ตอนนั้นไม่รู้
หรอกว่าต้องนั่งยังไงให้ถูก จำที่ครูสอนมาแค่นั้น
หรอกว่าต้องนั่งยังไงให้ถูก จำที่ครูสอนมาแค่นั้น
ตอนเรียนที่โรงเรียนสายน้ำผึ้ง ช่วงมัธยมมีการเข้าค่ายของโรงเรียน ตอนกลางคืนขณะที่เพื่อนๆ วิ่งเล่นกัน เรากลับลุกขึ้นมานั่งสมาธิคนเดียว ตอนเด็กไม่รู้หรอกว่าทำไปทำไม รู้แค่ว่านั่งแล้วดี ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นแรงผลักให้ทำ อาจจะเป็นสัญญาเก่าที่ไม่รู้ว่าทำมากี่ชาติภพ พอถึงชาตินี้ ระลึกได้ว่าเกิดมาเพื่อทำก็ทำเลย อุ้มเชื่อว่าการมาเกิดของคนเรามีเหตุแห่งการมา เคยตั้งจิตไว้ยังไง เราก็จะมาทำสิ่งนั้นต่อ บางคนใช้เวลานานกว่าที่จะรู้ แบบที่คนอินเดียนแดงมี Vision Quest คือผู้ชายที่จะเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่จะต้องผ่านพิธีกรรมเพื่อให้รู้เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่และรู้ว่าเกิดมาทำไมบนโลกใบนี้ บางคนจนตายก็ยังลืม จำไม่ได้ ขณะที่บางคนเกิดมาแล้วบวชเป็นเณรเลย ไม่เคยใช้ชีวิตฆราวาส คือไม่เสียเวลาแล้วเกิดมาเพื่อปฏิบัติเท่านั้น
ช่วงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัย ส่วนมากอุ้มจะทำทาน เรื่องศีลและภาวนานี่ไม่ค่อยได้ทำ ช่วงที่ทำงานก็ไม่ค่อยสนใจ จำได้ว่าตอนเล่นละครเรื่อง สี่แผ่นดิน ผู้ช่วยผู้กำกับท่านหนึ่งซึ่งเคยฝึกปฏิบัติกับท่านโกเอ็นก้า เอาใบสมัครมาให้กรอก อุ้มไม่เอาแล้ววิ่งหนีเลย คิดในใจว่าให้ไปนั่งอย่างเดียว 12 วัน ใครจะทำได้ ตอนนั้นคงยังไม่ถึงเวลาของเรา กระทั่งมาเริ่มตั้งบริษัทของตัวเอง (บริษัทบ้านอุ้ม จำกัด) เมื่อประมาณ 7 – 8 ปีที่แล้ว ทำบริษัทไปได้ 2 – 3 ปีมีความวุ่นวายเกิดขึ้นมาก ทั้งความกดดันในงานและหลายๆ เรื่องในชีวิต เหมือนผูกปมในใจไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว มารู้อีกทีใจก็เหมือนก้อนด้ายยุ่งๆ ก้อนหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเริ่มสางตรงไหนก่อนดี?ปมใหม่เกิด?ขณะที่ของเก่าก็ไม่ได้แก้อีนุงตุงนังไปหมด
จนถึงวันหนึ่งไปต่อไม่ได้ ท้อแท้มาก คิดว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี จะแก้ยังไง หาต้นหาปลายไม่เจอ ผลคือซึมเศร้า ตอนนี้พอเราผ่านการปฏิบัติมาแล้ว มองกลับไปถึงได้รู้ว่ามันคือสังขาร มีการปรุงแต่งและมีกิเลสเยอะมาก แต่ไม่เคยได้รับการเยียวยาหรือกำจัดออกไปเลย ตลอดเวลาอุ้มบอกตัวเองว่าเราโอเค จัดการได้เก่ง เอาอยู่ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ ตอนนั้นมีทั้งความเครียด ความหดหู่ ความซึมเศร้า เรียกว่าชีวิตไม่มีความสุข แม้จะใช้ชีวิตปกติ ไปทำงาน ดูแลงาน
กิจกรรมต่างๆ คิดโปรเจ็คท์ใหม่ๆ ทำนู่นทำนี่ แต่ข้างในเศร้าหมองมาก มันมีความกลัวอะไรบางอย่างอยู่ลึกๆ ตลอดเวลา แต่จัดการมันไม่ได้ ธรรมะยังไม่มี เลยตอบโต้ไปแบบมืดบอด
กิจกรรมต่างๆ คิดโปรเจ็คท์ใหม่ๆ ทำนู่นทำนี่ แต่ข้างในเศร้าหมองมาก มันมีความกลัวอะไรบางอย่างอยู่ลึกๆ ตลอดเวลา แต่จัดการมันไม่ได้ ธรรมะยังไม่มี เลยตอบโต้ไปแบบมืดบอด
บางคนคงไปพบจิตแพทย์เพื่อปรึกษาอาการที่เป็น
อุ้มก็ไปค่ะ เข้าใจคนหดหู่เลยว่าเป็นยังไง แต่คนรอบข้างไม่มีวันจะเข้าใจ ตอนนั้นคนรอบตัวที่มองมาก็ถามว่าเป็นอะไร ธุรกิจก็ดี งานก็ดี เงินเก็บก็เยอะ แต่เรื่องเหล่านี้มันนอกเหนือเหตุผลมาก ไม่ว่าใครจะบอกคุณยังไง แต่บอกให้ตาย ถ้าข้างในคุณไม่สปาร์คก็ไม่หาย ไปหาจิตแพทย์ก็ไม่หาย ตอนนั้นหมอวินิจฉัยว่า “คุณเป็นโรคซึมเศร้า” เป็นอาการทางสมอง ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนผิดปกติ แล้วหมอก็ให้กินยา เรื่องนี้อุ้มไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย แต่ตอนนี้ที่เล่าเพราะมันผ่านมานานมาก จนมองกลับไปรู้สึกตลกกับมันได้แล้ว แต่ตอนนั้นไม่ตลกเลยนอนเท่าไรก็ไม่หลับ บางครั้งไม่ได้นอน 2 วัน จนกลัวการเข้านอน ไม่อยากให้ถึงกลางคืน แต่พอตอนเช้าก็กลับไม่อยากลุก นอนมองเพดานอยู่อย่างนั้น สุดท้ายก็ต้องปลุกตัวเองขึ้นมาแต่งตัวไปทำงานจนได้
ตอนหมอบอกว่ามีอาการทางจิต ยอมรับไหมว่าตัวเองเป็น
อุ้มลองกินยาไป 3 ตัว แต่ละตัวน่ากลัวหมด หลังกินเข้าไปแล้วรู้สึกว่าเราไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนเป็นการกระตุ้นหลอกชั่วคราวอาการของคนที่กินแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ที่อุ้มเป็นคือ กินแล้วรู้สึก insecure รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย เป็นช่วงวิกฤติในชีวิตมากๆ แต่เมื่อเจอวิกฤติ คนเราจะมี 2 อย่างที่ทำ หนึ่งคือ ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งกับสองคือ ลุกขึ้นสู้ อุ้มเลือกที่จะฮึดสู้ เริ่มจากวิ่งรอบหมู่บ้านทั้งที่ไม่อยากวิ่ง ไม่มีแก่ใจ แต่ต้องฝืน เพื่อหาบางอย่างทำ วิ่งแบบไม่คิดอะไร ท่องแต่ซ้ายขวาๆ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นการทำสมาธิและวิปัสสนาอย่างหนึ่ง ระหว่างวิ่งบางทีความกลัวต่างๆ ก็พุ่งเข้ามา เราก็ต้องดึงตัวเองกลับไปที่ซ้าย – ขวา ซ้าย – ขวาอย่างเดียว ทำอยู่เป็นเดือน จู่ๆ ความรู้สึก
กังวลมันก็หายไปไหนไม่รู้ มาตอนนี้คิดว่าคงเป็นเพราะพอเราไม่คิดอะไร โฟกัสไปที่จุดจุดเดียว มีสมาธิ สัญญาณไฟฟ้าในสมองคงทำงานเป็นระบบขึ้น
พอผ่านความซึมเศร้านั้นมาได้ก็เริ่มมีความสุขขึ้น ทำอะไรได้ด้วยใจที่เป็นปกติ และอยู่ดีๆ วันหนึ่งหลังอาบน้ำเสร็จก็เกิดอาการปิ๊งมีคำถามแวบขึ้นมาว่า “เราเกิดมาทำไม” “เรามาอยู่ที่นี่ทำไม” ตั้งแต่เด็กจะถูกสอนให้ใช้ชีวิตแบบมีเหตุผลมาตลอด พอเมื่อมีคำถามเลยอยากหาคำตอบ แล้วก็มีคำถามกับตัวเองว่า สิ่งที่เราทำอยู่ใช่หนทางที่จะไป
สู่ความสุขที่แท้จริงหรือไม่ คำถามนี้ไม่มีใครตอบได้ เราต้องหาคำตอบด้วยตัวเองเท่านั้น เลยตัดสินใจลองไปปฏิบัติธรรม
เริ่มจากไปปฏิบัติกับคุณแม่สิริ กรินชัย ตอนไปปฏิบัติก็ได้เดินจงกรม นั่งสมาธิ กำหนดอิริยาบถใหญ่และย่อย เป็นคอร์สเจริญสติเพื่อสันติสุข ให้มีสติอยู่กับปัจจุบันขณะรู้ว่าอะไรมากระทบ สิ่งที่ได้คือรั้วกั้นภัย จากที่ใช้ชีวิตลอยๆ มีอะไรมากระทบก็ไม่เคยรู้เท่าทัน ก็ได้รู้มากขึ้น ปฏิบัติกับคุณแม่สิริอยู่ประมาณสามปีแต่ยังมีคำถาม เหมือนเรายังไม่เข้าใจข้างในลึกๆ ของตัวเอง การรู้เท่าทันมันก็ดี เรามีรั้วกั้น แต่ถ้าข้างในไม่ดีก็เหมือนเราสร้างรั้วขึ้นมาขังความชั่วร้ายไว้แทน
มีวันหนึ่งขับรถไปชลบุรีไปหาพี่ที่รู้จักคนหนึ่ง พี่เขาบอกว่าขับมาตามถนนใหญ่ ตรงมาเรื่อยๆ เลย แต่แทนที่เราจะขับไปตามนั้นระหว่างทางหันไปเห็นทางเลี้ยวคิดไปเองว่าคงจะเป็นทางนี้แล้วเลี้ยวเลยปรากฏว่าผิดทางหลงอยู่นานมากทั้งๆ ที่ทางตรงไปก็ไม่ได้ยากเย็น
พอกลับมาถึงถนนใหญ่ได้ ประสบการณ์ที่เลี้ยวผิดทำให้ได้คิด เลยตั้งจิตอธิษฐานว่าหลังจากนี้ต่อไปขอให้เจอการปฏิบัติที่ถูกต้อง
อธิษฐานว่าขอให้เจอสิ่งที่เหมาะกับตัวเองที่สุด เวลาของชีวิตมีจำกัด การหลงทางก็เปรียบเหมือนการเสียเวลาในการปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นนี่เอง
หลังจากนั้นไม่นานมีพี่ที่รู้จักอีกคนโทร.มาบอกว่า “พี่ไปคอร์สของท่านโกเอ็นก้าที่กาญจนบุรีมา สัปปายะมาก มีห้องน้ำในตัว สะดวกสบายมาก” (สัปปายะ แปลว่า สิ่งที่เหมาะกัน ซึ่งเกื้อกูลสนับสนุนในการบำเพ็ญภาวนาให้ได้ผลดี โดยช่วยให้สมาธิตั้งมั่น ไม่เสื่อมมาก) แม้อยากปฏิบัติ แต่ราคจริตของเราก็ยังมี การไปปฏิบัติในที่ที่ฮาร์ดคอร์ก็ไม่ไหว บางที่ยุงเยอะมากแทนที่จะไปโฟกัสกับการปฏิบัติ แต่ต้องไปโฟกัสกับยุง เลยขอที่ที่สัปปายะเพื่อฝึกข้างในอย่างเดียวก่อน
จากที่เคยวิ่งหนีท่านโกเอ็นก้าก่อนหน้านี้ ตอนนี้วิ่งเข้าหาแล้ว ขับรถไปกาญจนบุรีเอง ไปแบบไม่รู้อะไรเลย ท่านโกเอ็นก้าเป็นใครก็ยังไม่รู้ ไปถึงได้ฟังเสียงสวดของท่านจากเทป ก็ยังรู้สึกว่าเสียงของท่านแปลกๆ ตลอดระยะเวลา 12 วันปฏิบัติด้วยการนั่งอย่างเดียว วันแรกเป็นการอานาปานสติ ฝึกดูลมหายใจเพื่อให้จิตมีกำลัง อีกอย่างแต่ละคนก็มาจากต่างที่ จิตยังหยาบเกินกว่าจะเห็นเวทนา สามวันแรกเป็นการอานาปานสติอย่างเดียว พูดได้เลยว่าแทบบ้า เมื่อยมากๆ แต่ทุกวันจะมีธรรมะบรรยายตอนเย็นบอกว่า ที่เราทำไปตอนกลางวันนั้น การเกิดสภาวะต่างๆ มันคืออะไร เข้าวันที่ 4 เริ่มวิปัสสนา หลังจบวิปัสสนาเข้าห้องนอนแล้วอุ้มร้องไห้เลย
ร้องไห้ด้วยความซาบซึ้ง
เปล่าค่ะ มันปวดมาก (หัวเราะ) เกิดมาไม่เคยปวดตามร่างกายขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะตามข้อต่อเหมือนจะหลุดออกมา เดินโซเซกลับไปที่ห้อง ถามตัวเองว่ามันคืออะไร ทำไมทรมานขนาดนี้ ความรู้สึกก่อนจะเดินเข้าห้องปฏิบัติวันต่อมาเหมือนออกไปรบ แต่พอทำไปเรื่อยๆ เริ่มรู้สึกดี แม้จะเป็นวิธีที่ยากมาก แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก มันไม่ใช่การนั่งสมาธิ แต่คือวิปัสสนา แปลตามตัวคือ การเห็นตามความเป็นจริงซึ่งต่างจากสมาธิ สมาธิคือความตั้งมั่นแห่งจิต เป็นการโฟกัสกับอย่างใดอย่างหนึ่ง วิปัสสนาตามวิธีของท่านโกเอ็นก้าคือการเคลื่อนความสนใจ ดูเวทนาที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เพื่อให้สังขารเดิมมันออกมาแล้วนั่งดูไป
ชีวิตก่อนหน้านี้เวลามีอะไรเกิดขึ้น เราตอบโต้ นั่งๆ ไปพอเมื่อยก้นเราขยับ เราไม่รู้ว่านั่นคือการหนีทุกข์ วิปัสสนาทำให้เราเห็นตามความเป็นจริง เห็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วดับไป นี่คือวิธีการสอนของท่านโกเอ็นก้า เราบอกว่านั่งแล้วปวดหลังเพราะโรคเก่ากำเริบ แต่ไม่ใช่นั่นคือสังขารที่ออกมาแล้วเราตอบโต้มันต่างหาก บางคนคิดตลอดเวลาว่าเมื่อไรมันจะหายไป เมื่อไปคิด เราก็จะสร้างปฏิกิริยาใหม่ขึ้นไปตอบโต้ เลยเป็นอยู่อย่างนั้นไม่จบ วันที่เข้าใจคำว่าอุเบกขาเป็นชั่วโมงอธิษฐาน ซึ่งต้องนั่งแบบห้ามขยับตัวตลอด 1 ชั่วโมง ปวดขาแทบทนไม่ไหว เจ็บเหมือนขาจะไหม้เป็นจุณ ด่าว่าฉันเกลียดแกไอ้ความเจ็บปวด เรียนจบวันแรกอุ้มเดินไปหาอาจารย์ที่สอนแล้วถามว่า “อาจารย์คะ หนูกลัวมากเลยค่ะ เคยมีคนตายจากการวิปัสสนาไหมคะ”
คนที่เคยเล่นเกมน่าจะนึกภาพตามได้ ภาพที่อุ้มเห็นตอนนั่งมันเหมือนอยู่ในอวกาศ แล้วมียานของศัตรูลอยมา เราต้องใช้ปืนยิงศัตรูตัวลูกนี้เพื่อไปเจอตัวแม่ พอนั่งไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นตัวแม่ที่อยู่ข้างในซึ่งลึกมาก ภาพมันเริ่มชัดเจนมากขึ้นในวันต่อๆ มา จนในที่สุดเริ่มรู้ว่าจริงๆ แล้วจิตของคนมันใสสว่าง สงบ และสะอาดมาก เหมือนที่เขาเรียกว่าจิตประภัสสร แต่เราเองนี่แหละที่ไปทำร้ายมันด้วยการใส่สิ่งปรุงแต่งและความสกปรกชั่วร้ายลงไป เดี๋ยวก็เกลียดคนนั้น เดี๋ยวก็ว่าคนนี้ เดี๋ยวก็รัก เดี๋ยวก็อิจฉา ดวงแก้วที่ใสสว่างนั้น เรานี่แหละที่เป็นคนเอาดินไปพอกไว้ เมื่อปฏิบัติก็เริ่มเห็นโทสะ เห็นจิตที่หยาบมาก แต่เมื่อเราค่อยๆ ปอกออกไปทีละชั้นๆ ก็จะเริ่มเห็นแสงรำไรข้างในสิ่งที่เคยผูกเป็นปมก็จะค่อยๆ คลายและสลายตัวไป
ก่อนไปปฏิบัติธรรม เวลาเจอปัญหา ใครทำให้โกรธ เราระงับใจตัวเองได้ว่าไม่โกรธๆ ไม่เคยขึ้นเสียงกับลูกน้อง จนคนบอกว่าอุ้มใจเย็น จริงๆ แล้วข้างในโกรธนะ แต่เราคุมได้ ไม่ระเบิดใส่ใคร อุ้มคิดว่าหลายคนก็เป็น ไม่ค่อยโกรธ แต่นานๆ ทีก็ปล่อยออกมาแรงๆ เคยสงสัยมาตลอดว่าความโกรธเหล่านั้นมันหายไปไหน พอมาปฏิบัติธรรมถึงรู้ว่าเราซ่อนมันไว้ข้างใน มันไม่ได้หายไปไหนหรอก แต่ความโกรธเป็นนามธรรม ที่มีรูปธรรมเป็นความเจ็บปวดและร้อนใจกาย
ตอนแรกก็คิดว่าจะจัดการยังไง แต่ตอนหลังก็คิดได้ว่าต้อง delete มันสิ ลบไปเรื่อยๆ จนมันไม่เหลือในคลัง
ตอนแรกก็คิดว่าจะจัดการยังไง แต่ตอนหลังก็คิดได้ว่าต้อง delete มันสิ ลบไปเรื่อยๆ จนมันไม่เหลือในคลัง
ยิ่งลบยาก การวิปัสสนาไม่ใช่การยิงให้เจ้าตัวที่ว่าตายนะคะแต่มันคือการทำให้มันหมดกำลังไปเอง แทนที่จะไปโฟกัสที่หน้าคนที่ทำให้เราโกรธ ก็ให้กลับมาดูตัวเอง มองว่าคนคนนั้นเป็นแค่คนที่มากระตุ้น มาจุดประกายโทสะจริตของเรา พระพุทธเจ้าและท่านโกเอ็นก้าถึงสอนว่าให้กลับมาดูตัวเองและดูความจริง ลองดูสิว่าเมื่อมันมีการปะทะเกิดขึ้น มันกลายเป็นปฏิกิริยาเคมีอย่างไร ความโกรธที่เคยเป็นปื้นใหญ่ๆ พิจารณาไปเรื่อยๆ มันจะค่อยๆ จางลงๆ และสลายตัวไป มันต้องจัดการด้วยวิธีนี้ หลายเรื่องที่เคยคิด ตอนนี้อุ้มไม่เคยคิดถึงมันอีกเลยหลายอย่างในโลกนี้อธิบายได้ด้วยธรรมะหมดนะอุ้มว่า
โกรธค่ะ (ยิ้ม) เพราะตราบใดที่เรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เราก็ยังมีกิเลส มีแค่พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่มีกิเลส อย่าคิดว่าผู้ปฏิบัติจะไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง เรายังมีครบทุกอย่าง เพียงแต่รู้ว่าจะไม่เพิ่มยังไงและพยายามจะชำระของเก่าให้หมดไป นี่คือสิ่งที่ผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ทำ เทียบกับคนไม่ปฏิบัติ เราก็เพียงแค่ไม่หวั่นไหวง่าย มีสติมากขึ้น ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย เมื่อมีอะไรมากระทบเท่านั้น
ขอถามถึงชีวิตชาวนาบ้าง เป็นอย่างไรบ้างครับตอนนี้
ธรรมะมีผลมากๆ นะคะในการไปเป็นชาวนาของอุ้ม ธรรมะดึงให้อุ้มกลับสู่ธรรมชาติ ปรับให้เราหาวิธีการใช้ชีวิตที่จริงขึ้นเรื่อยๆ มีการคัด
กรองสิ่งที่ทำอยู่ว่ามันดีจริงหรือเปล่า นาไร่เดียวได้ข้าวเปลือก 350 กิโล สีแล้วได้สองร้อยกว่ากิโล เก็บกินได้จนถึงฤดูหน้าเลย อุ้มเพิ่งขายข้าวไปได้ประมาณ 5,000 บาท ตอนแรกกะจะเอาไว้กิน แต่มันเหลือเยอะเลยไปคุยกับทางเลมอนฟาร์ม เขาก็ช่วยขายให้ ถามว่าคุ้มกับต้นทุนไหม ไม่เลย แทบไม่พอค่าน้ำมันและค่าแรงที่ทั้งไปทำนาแบกข้าวไปสี แบกข้าวขึ้นรถ แต่สิ่งที่ได้ไม่ใช่เป็นเงิน มันคือประสบการณ์ชีวิต เทียบกับวิชาความรู้ที่ได้มันคุ้มมากๆ
กรองสิ่งที่ทำอยู่ว่ามันดีจริงหรือเปล่า นาไร่เดียวได้ข้าวเปลือก 350 กิโล สีแล้วได้สองร้อยกว่ากิโล เก็บกินได้จนถึงฤดูหน้าเลย อุ้มเพิ่งขายข้าวไปได้ประมาณ 5,000 บาท ตอนแรกกะจะเอาไว้กิน แต่มันเหลือเยอะเลยไปคุยกับทางเลมอนฟาร์ม เขาก็ช่วยขายให้ ถามว่าคุ้มกับต้นทุนไหม ไม่เลย แทบไม่พอค่าน้ำมันและค่าแรงที่ทั้งไปทำนาแบกข้าวไปสี แบกข้าวขึ้นรถ แต่สิ่งที่ได้ไม่ใช่เป็นเงิน มันคือประสบการณ์ชีวิต เทียบกับวิชาความรู้ที่ได้มันคุ้มมากๆ
ถ้ามีคนถามว่าเป็นทำไมชาวนา เป็นแล้วได้อะไร
เป็นชาวนาเพื่อให้มีข้าวที่ปลอดภัยกินค่ะ เพื่อรู้จักตัวเอง พอมาเป็นชาวนาแล้วอุ้มรู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นเยอะมาก ไม่อ่อนแอเหมือนแต่ก่อน สมัยก่อนทั้งร่างกายและจิตใจเราอ่อนแอหมด ธรรมะและเกษตรอินทรีย์สอนให้อุ้มเข้มแข็งขึ้นมาก เหมือนได้ฝึกการใช้ชีวิตในชีวิตจริงเราจะนั่งอยู่แต่ในห้องปฏิบัติในสถานปฏิบัติธรรมไม่ได้หรอกนั่นแค่ห้องเรียน ยังไงคุณก็ต้องออกมาใช้ชีวิต การเป็นชาวนามันสอดคล้องกับการปฏิบัติธรรม หากวันหนึ่งต้องเลือกว่าจะทำอะไรเพียงอย่างเดียวในชีวิต หรือต้องเลือกว่าจะทำอะไรที่มีธรรมะที่สุด อุ้มขอเลือกเป็นชาวนา เพราะมันไม่หลอกหลวง มันเป็นความจริงที่สุด เป็นอาชีพที่ซื่อสัตย์ที่สุด ไม่ฆ่าและไม่เบียดเบียนใคร
ทราบว่าวางเป้าหมายในชีวิตไว้ที่นิพพาน
ค่ะ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ แต่รู้แล้วว่ามีเป้าหมายในชีวิตอย่างไรและกำลังจะเดินทางไปไหน ไม่ได้รีบ ไม่ได้ไปแบบมีคำถามว่าเมื่อไรจะถึงเสียทีหรือไปด้วยความทะยานอยาก ก็เดินทางไป รู้ว่าต้องไปทางนี้ นิพพานคือการไม่เกิดอีก ไม่ว่าในภพภูมิไหนในวัฏสงสาร ถ้าไม่หลุดพ้นจากวัฏสงสาร เราก็จะไปเกิดเป็นนู่นนี่อีก การเกิดคือทุกข์ ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ไม่ต้องเกิด และหนทางเดียวที่ไม่ต้องเกิดอีกคือหมดจดจากกิเลสอย่างพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า จิตสุดท้ายของท่าน
คือดับไปเลย ครั้งหนึ่งที่ไปปฏิบัติ อยู่ดีๆ อุ้มก็พูดขึ้นมาว่า นิพพานอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง ไม่ใช่สภาวะที่ไกลเกินเอื้อม อยู่ที่ว่าเราจะเข้าถึงหรือเปล่าเท่านั้น จริงๆ แล้วในสภาวะที่จิตปราศจากการปรุงแต่งและพ้นจากอำนาจของกิเลส อุ้มว่าสภาวะนั้นก็เหมือนเราได้ลิ้มรสนิพพานแล้ว
คือดับไปเลย ครั้งหนึ่งที่ไปปฏิบัติ อยู่ดีๆ อุ้มก็พูดขึ้นมาว่า นิพพานอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง ไม่ใช่สภาวะที่ไกลเกินเอื้อม อยู่ที่ว่าเราจะเข้าถึงหรือเปล่าเท่านั้น จริงๆ แล้วในสภาวะที่จิตปราศจากการปรุงแต่งและพ้นจากอำนาจของกิเลส อุ้มว่าสภาวะนั้นก็เหมือนเราได้ลิ้มรสนิพพานแล้ว
เราเกิดมาทำไม กับชาวนาอุ้ม สิริยากร
Reviewed by Paulyn
on
00:35
Rating:

ไม่มีความคิดเห็น