I don’t care!โอปอล์ ปาณิสรา พิมพ์ปรุ “ถึงชีวิตจะดราม่า แต่อย่าดราม่ากับชีวิต”
โอปอล์ ปาณิสรา พิมพ์ปรุ “ช่างทุกข์ปะไร…I don’t care!”
เเรงส์ ทุกช่วงชีวิต กับสาวคนนี้ ไม่ใช่เเค่เธอสามารถปรับความคิดให้ชีวิตมีความสุขกับทุกเหตุการณ์ที่เจอ บางมุมที่ซ่อนเธอเเอบไว้ นอกจากความหวานกับครอบครัวที่อบอุ่นในวันนี้ เธอมีมุมสงบ กับธรรมะที่เธอทั้งปฏิบัติ เเละเอาหลักมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย จากบทสัมภาษณ์นี้คงได้เห็นตัวตนด้านนี้ของเธอเพิ่มขึ้น เเล้วจะเข้าใจว่าทำไมเธอจึงเป็นไอดอลตัวเเม่ระดับต้นๆของเมืองไทย ที่กาลเวลาฆ่าเธอไม่ได้
ทุกวันนี้คุณโอปอล์ดูมั่นใจในตัวเองมาก เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่าคะ
ปอล์ไม่ใช่เด็กนั่งหน้าห้องและตั้งใจเรียน แต่เรียนเก่งมาก ได้เป็นหัวหน้าห้องแล้วก็เป็นประธานนักเรียนด้วย ปอล์เป็นตัวของตัวเองมาก และเวลามีเรื่องปอล์สู้เสมอ ซึ่งพอมองย้อนกลับไปเรารู้ว่ามันไม่ถูก คือตอนที่ทำเราเชื่อแต่เหตุผลของตัวเองว่ายังไงเราก็ถูก เราใช้ตัวเองเป็นหลักตัดสินว่าคนนั้นควรทำอย่างนี้ คนนี้ไม่ควรทำอย่างนั้น และถ้าเขาทำฉันจะจัดการเขาเอง ทั้งที่ความจริงเราไม่ได้มีอำนาจ ไม่ควรใช้ตัวเองเป็นมาตรฐานในการตัดสินใคร หรือชี้เป็นชี้ตายใคร แต่ด้วยวัยแค่นั้นปอล์ยังคิดไม่ได้ทุกอย่าง แต่มันก็มีส่วนดี เพราะถ้าปอล์ไม่เคยผ่านเรื่องแบบนั้นมา พอโตขึ้นก็อาจจะไม่นิ่งแบบนี้
ปอล์ว่ามันมีหลายองค์ประกอบ ประสบการณ์ทุกอย่างสอนมา ตอนเป็นเด็กประถมเคยโดนล้อบ่อยๆ ว่า “ดำ อ้วน” ตอนนั้นประมาณ ป.3 จนวันหนึ่งเรารู้สึกว่าล้อไปเถอะ ฉันไม่สนแล้ว หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตแบบที่เป็นมาโดยตลอด เริ่มเข้าวงการมาเจอคนหลากหลายรูปแบบ ทุกอย่างมันหล่อหลอมให้ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำจนเป็นเราทุกวันนี้
มองความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอย่างไรบ้างคะ
เป็นเรื่องปกติ คนเราไม่เปลี่ยนเลยเป็นไปไม่ได้ ปอล์ว่ามันเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ต่อให้เราไม่ได้ทำงานในวงการนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ แค่เดือนเปลี่ยน คนเราก็เปลี่ยน ยิ่งผ่านเวลาไปหลายปี คนเราก็เปลี่ยนไป ปอล์เริ่มเข้าวงการตอนเรียนจบมหาวิทยาลัย คือเรียนจบแล้วทำงานเลย ก็รู้สึกเหมือนเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถ้าถามว่ามองย้อนกลับไปมีอะไรเปลี่ยน ก็คงจะเป็นทั้งหมด ด้วยวัย ต่อให้คนที่พูดว่าฉันไม่เคยเปลี่ยนยังไงก็ต้องเปลี่ยน อาหารวันนี้ชอบพรุ่งนี้ไม่ชอบก็ได้ เราเคยเชื่อเรื่องนี้ เวลาผ่านไปเราไม่เชื่อแล้วก็ได้ มันเกิดจากประสบการณ์ เกิดจากสิ่งที่เราเห็น เกิดจากทุกสิ่งอย่างที่เราโดนกระทำ หรือเห็นการโดนกระทำ แล้วเราก็ค่อยๆ รู้ว่าเราควรทำตัวยังไง ปกป้องตัวเองยังไง หรืออยากที่จะมีอะไรในชีวิตต่อไป ประสบการณ์กับสิ่งที่เจอจะทำให้คนเราเปลี่ยนไปในที่สุด
ในเมื่อคนเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คุณเคยนึกเสียดายตัวคุณในแบบที่เคยเป็นบ้างไหมคะ
ตัวปอล์ก็คือตัวปอล์ ปอล์ไม่เคยกลัวอะไรในชีวิตนี้ เพราะปอล์รู้ว่าเราเป็นใคร ปอล์มีพ่อแม่ บ้านเราอยู่ไหน ชีวิตต้องการอะไร และปอล์เป็นคนยังไง กับอาชีพที่ทำ เรารู้ตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าต้องแลกกับอะไร รู้ว่าต้องยิ้มแม้ว่าจะไม่อยากยิ้ม ปอล์จะต้องทำตัวมีความสุขแม้ว่ากำลังอยู่ในภาวะที่เศร้าที่สุด เวลาจัดรายการวิทยุปอล์ต้องตลกมาก ต่อให้กำลังที่เศร้าอยู่ก็ต้องทำ ปอล์รู้ว่าเรื่องส่วนตัวของเราจะไม่เป็นส่วนตัวอีกต่อไป ปอล์ยอมแลกเพราะว่านี่คืออาชีพของเรา ถ้าถามว่าเสียดายไหมกับการเปลี่ยนแปลงและสูญเสียตัวตน ปอล์ว่าตัวเองไม่ได้สูญเสียอะไรเลย มันเป็นค่าของสังคมที่ต้องแลกเหมือนทุกอาชีพ ตำรวจก็ต้องแลกเวลาหยุดสงกรานต์หรือปีใหม่ที่จะได้อยู่กับครอบครัว เพราะต้องปฏิบัติหน้าที่
คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า ถูกดูถูกตอนที่ยังไม่มีชื่อเสียง ถึงวันนี้แล้วมองเหตุการณ์นั้นอย่างไรคะ
ปอล์มองเห็นตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่ามันเป็นเรื่องปกติ ลองแต่งตัวดี
กับแต่งตัวไม่ดีเข้าร้านเพชรสิ ก็ย่อมได้รับการต้อนรับที่ต่างกัน เป็นเรื่องปกติของคนที่เขาจะปฏิบัติแบบนั้น ซึ่งเรารับได้ไหม ความจริงมันไม่มีความเท่าเทียมกันในสังคมนี้อยู่แล้วคนนามสกุลนี้กับคนอีกนามสกุลหนึ่งก็จะได้รับการปฏิบัติพื้นฐานที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่เราไม่จำเป็นจะต้องสนใจ
แล้วถ้าจะให้กำลังใจคนที่คิดว่าตัวเองไม่สวยหรือไม่มั่นใจในตัวเอง อยากบอกเขาว่าอย่างไรบ้างคะ
เราต้องเป็นตัวเอง ต้องรู้ว่าเราทำอะไรอยู่ จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นทำไม ปอล์ไม่สวยแต่มีความสุขกับชีวิตมาก ปอล์ชอบหน้าตา ชอบชีวิตของตัวเอง ปอล์เลยมีความสุข ดังนั้น ถ้าเทียบตัวเองกับคนอื่นแล้วไม่มีความสุข ก็เหมือนคนที่โทษทุกอย่างแต่ไม่ทำอะไรเลย ง่ายๆ ก็ทำให้ชอบตัวเองสิ หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เราเลือกที่จะมีชีวิตอย่างไรก็ได้ยังไงมันก็คือชีวิตของเรา
ทราบว่าปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่อายุยังน้อย เริ่มต้นได้อย่างไรคะ
บ้านปอล์เป็นพุทธมากๆ ทุกวันอาทิตย์เราจะไปวัดกัน มีพ่อ แม่ คุณยายไปด้วย พอวันเวลาผ่านไปเราเริ่มรู้สึกว่าไปวัดมันยังไม่พอ แม้มันจะสนุก สงบตอนไป แต่มันยังไม่สุด ปอล์เคยอ่านหนังสือธรรมะของคุณยาย แล้วเขาเขียนว่า “สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน” เลยสงสัยว่าวิปัสสนาคืออะไร ตอนเรียนมหาวิทยาลัยปี 2 ปอล์ก็เลยลองไปอยู่วัดตอนปิดเทอม ไปกับเพื่อน แล้วจากที่จะไปอยู่แค่ 3 วันก็กลายเป็นเดือน แล้วก็ไปทุกปิดเทอมมาเรื่อยๆ
นอกจากนั้น ปอล์ศึกษาธรรมะมาตลอดด้วยความสงสัย เช่น ทำไมแม่ต้องบอกให้เราเป็นพุทธมามกะ เราไม่ได้อยากเป็นพุทธ พุทธสอนอะไร ปอล์เลยเริ่มอ่านพระไตรปิฎก อ่านตั้งแต่ตอนเรียนที่ราชินีบน อ่านที่ห้องสมุดเตรียมฯ ห้องสมุดจุฬาฯ อยากรู้ว่าพระไตรปิฎกสอนอะไร แล้วทำไมเราต้องเป็นพุทธ อ่านมาเรื่อยๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเพราะอ่านยาก จนปอล์เริ่มปฏิบัติธรรมถึงได้เข้าใจ จากสิ่งที่เกิดขึ้นเวลาเดินจงกรม ที่เรายังพะวงถึงเพื่อน ถึงที่เที่ยว รู้สึกขี้เกียจและไม่สบายในทุกอิริยาบถ แต่เมื่อจิตเรานิ่งจริงๆ มีคำบางคำที่เราอ่านผ่านๆ มาเป็นสิบปีกลับผุดขึ้นมาในหัวให้ค้นพบด้วยตัวเอง และบอกตัวเองว่า “จริงด้วย…จริงด้วย” ในที่สุดเราก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจึงเห็นแจ้งได้ด้วยตัวเอง
หลังจากที่ปฏิบัติธรรม ทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วธรรมะไม่มีอะไรซับซ้อนเลย ธรรมะคือธรรมชาติที่เกิดขึ้น อยู่ที่ว่าเรารับมือได้แค่ไหน แก้ปัญหายังไง ถ้าเกิดทุกข์ ปอล์จะเบื่อมากกับคนที่เป็นทุกข์แล้วโทร.ไปรายการวิทยุ ปรึกษาพี่ฉอดว่า “เขาไม่รักเราแล้ว ทำยังไง” ใช่! ทำยังไง ก็เขาไม่รักแล้วไง เราควรรับให้ได้ดีไหม ปัญหามันอยู่แค่ตรงนี้ หรือ “จะประกาศผลสอบวันนี้แล้ว หนูควรจะทำยังไงดี หนูเครียด” คุณสอบไปแล้วผลที่เกิดก็ต้องรับให้ได้ ใช่ไหม แล้วคนเราชอบคิดว่าชีวิตเป็นทางตีบ มันมีอีกตั้งหลายทาง สอบไม่ได้ก็ไปสอบใหม่หรือไปที่อื่นไหม หรือถ้าเขาไม่รักคุณแล้วคุณก็เลิก หรือคุณจะไม่เลิกแล้วอยู่ให้ทุกข์ก็เรื่องของคุณ ชีวิตใครชีวิตมัน มันอยู่ที่เราอย่าไปแบกรับดีกว่าไหม
แต่ถ้าบางคนคิดไม่ได้ล่ะคะ
มันเป็นปัจจัตตังนะ ซึ่งตามหลักธรรมะคือทุกอย่างต้องคิดได้ รู้ได้ด้วยตัวเอง ต่อให้ใครมาบอกยังไง ถ้าไม่ยอมทำ ถ้าไม่รู้ด้วยตัวเอง ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าปอล์มีความสุขกับชีวิตตัวเอง แต่อีกคนหนึ่งไม่มี ต่อให้เป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นน้องตัวเอง ก็ลากเขาให้มีความสุขไปด้วยไม่ได้ แล้วเดี๋ยวนี้ยังไปปฏิบัติธรรมอยู่ไหมคะ
ช่วงนี้ก็ยังไปเรื่อยๆ ค่ะ แต่จะว่าไป มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณไปปฏิบัติธรรมมากี่วัน คุณเคยโกนหัวบวชหรือเปล่า แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณบวชแล้วนำสิ่งที่เรียนรู้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้หรือเปล่า เคยเห็นคนไปปฏิบัติธรรมมา แล้วยังหยาบคาย ยังติดโลภ โกรธ หลง หรือเนื้อหนังมังสาไหม ปอล์ว่าอย่างนั้นไม่ต้องเสียเวลาไป เมื่อเกิดปัญหาอะไรแล้วนำสิ่งที่เราได้พบเจอตอนปฏิบัติธรรมมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างนั้นจะดีกว่า
แล้วคุณโอปอล์ได้ใช้ธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไรบ้างคะ
อย่างที่บอกไปว่าธรรมะคือธรรมชาติ คือเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตตามปกติ เช่น เรื่องของอารมณ์ อย่างเวลาปอล์โกรธ ก็จะต้องดึงสติกลับมา แล้วข่มตัวเองลง สิ่งนี้ได้มาจากตอนปฏิบัติธรรม ในขณะที่ตอนเด็กเราเคยเกรี้ยวกราด เพราะตอนนั้นเราดึงสติไม่ทัน หรือไม่รู้จะปฏิบัติตัวอย่างไร มันเลยสุดๆ ทุกอย่าง ก่อนปอล์โกนหัวบวช ปอเที่ยวแล้วก็เต้นหนักมาก พอหกโมงเช้าวันถัดมา ปอล์โกนผมบวช จะเห็นเลยว่าผมที่เราเต้นแล้วระไปโดนบ่าเมื่อคืนไม่มีอีกแล้ว เราได้เห็นความไม่แน่นอนแล้ว พอเราเริ่มปฏิบัติธรรม สิ่งที่เราได้จากตอนไปปฏิบัติก็คือ ธรรมะคือธรรมชาติ สิ่งที่มีอยู่จริงแล้วเราค้นพบด้วยตัวเอง มันจะอยู่กับเราตลอด ก็พยายามดึงมาใช้
เดี๋ยวนี้ถือว่าเอาอารมณ์ตัวเองอยู่แล้วไหมคะ
ปอล์เป็นคนปกติที่ยังรัก โลภ โกรธ หลง แต่ว่าก็จะสามารถดึงสติกลับมาเร็วขึ้น เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ถ้ายังเป็นมนุษย์ปุถุชนอยู่ แล้วบอกว่าไม่โกรธ ไม่มีบาปอะไรติดตัว…เป็นไปไม่ได้ ปอล์โดนใครด่าก็เสียใจ ใครชมก็ดีใจ แต่จะอยู่กับเราแค่แป๊บเดียว ไม่เคยเกินหนึ่งวัน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เดี๋ยวเราก็กลับมาเป็นตัวเองเหมือนเดิม เพราะเอาเข้าจริงๆ ทุกอย่างไม่มีอะไรจริงเท่าไหร่ ทุกอย่างเกิดขึ้นวันนี้แล้วก็หายไป เย็นนี้ปอล์ก็ลืมเรื่องตอนเช้าแล้ว
แล้วถ้าเจอเหตุการณ์ที่ทำให้โมโหมากๆ มีวิธีจัดการกับอารมณ์ตัวเองอย่างไรคะ
ง่ายมาก! ไม่ว่าคุณจะโมโหอยู่หรือจะดีใจอยู่ ทุกอารมณ์มันปรุงแต่ง มีขึ้นเดี๋ยวก็ลง เหมือนทุกอย่างในความเป็นจริง ดังนั้น ถ้าเกิดอะไรขึ้น ปอล์จะตั้งหลักก่อน ตัวช่วยหนึ่งคือ “สติ” อย่างเช่น วันหนึ่งทุกคนชอบเรามาก เราก็นำสติมาดึงว่าพรุ่งนี้เขาอาจไม่ชอบเราก็ได้ วันนี้เขาเกลียดเรา ทำไมเขาเกลียดเรา ไม่ต้องไปหมกมุ่น เขาไม่ได้คิดเรื่องเราขนาดนั้นหรอก ต้องใช้สติดึงตัวเองไว้เสมอๆ
เคยเจอทุกข์หนักๆ บ้างไหมคะ
เคยเจอนะคะ แต่ปอล์เป็นคนเฉยมาก อย่างที่บอกว่าต่อให้ดีแค่ไหน ทุกข์แค่ไหน ปอล์ไม่ดราม่า เวลาดีใจ ปอล์ไม่เหลิง หรือเวลาเศร้า ใครมาพยายามดึงให้ชีวิตเราเศร้า ก็จะคิดว่ามันยังมีคนเศร้ากว่าเรา
เป็นเพราะว่าเคยปฏิบัติธรรมมาด้วยหรือเปล่า
ปอล์ว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทางออกของทุกคน ที่พูดอย่างนี้เพราะเวลาคุณไปปฏิบัติธรรมแล้วคุณถึงแก่นกันไหม ดังนั้น ถ้าบอกว่าคนนี้ไปปฏิบัติธรรมแล้วเขาเป็นคนดี ปอล์ไม่เชื่อ แต่จะดูว่าในชีวิตจริงเขานำมันมาใช้ได้แค่ไหน อย่างปอล์เจอเรื่องทุกข์มาตั้งแต่เด็ก แต่ก็รอดมาได้ตั้งแต่ก่อนปฏิบัติธรรม ปอล์จึงคิดว่าอยู่ที่คุณเข้าใจในแก่นพุทธศาสนาแค่ไหน ปอล์ไม่ได้เข้าใจขนาดนั้น แต่รู้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนคือความจริงที่มีอยู่จริง เหมือนมีเช้าแล้วก็มีตอนเย็น มีฝนตกแล้วก็มีเลิกตก อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มีอะไรแน่นอน พ่อแม่ปอล์สอนมาตั้งแต่เด็กว่าไม่มีอะไรแน่นอน ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องทุกข์ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ปอล์คิดว่าชีวิตคนเราสั้นมาก ดังนั้นทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุข ทำอย่างไรที่จะทำชีวิตที่พ่อแม่ให้มาให้ดีที่สุด
แสดงว่าหลายครั้งที่คิดได้ เป็นเพราะว่าครอบครัวมีส่วนช่วย
ปอล์ยืนยันว่าการเลี้ยงดูสำคัญ คนที่โตมาในบ้านที่มีปัญหามากๆ หรือคนที่ชอบคิดว่าไม่มีอะไรดีพอสำหรับตัวเอง คนที่โทษทุกอย่างยกเว้นตัวเอง เมื่อเกิดอะไรไม่ดีก็เอาแต่ด่า เช่น พอน้ำท่วมแล้วเอาแต่ด่าว่าทำไมทหารไม่มาช่วย รัฐบาลไม่มาช่วย แต่คุณเองกลับเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ช่วยเหลือตัวเอง มัวแต่ด่าคนอื่น ปอล์ไม่ชอบ มีนะบ้านที่เป็นแบบนั้น ตรงข้ามกับบ้านที่เกิดปัญหาแล้วบอกว่า “ช่างมันลูก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น”
ปอล์ว่าโลกมีหลายมุม แล้วแต่ว่าเราจะมองมุมไหน ถ้ามองแบบโทษทุกอย่าง ทุกอย่างแย่ วิปริตวิปลาส คุณก็ลุกออกมาทำอะไรสิ ถ้าคุณเอาแต่ด่าแล้วไม่ทำอะไรก็ไม่ไหว การอบรมสำคัญ และครอบครัวสำคัญมากที่จะหล่อหลอมคนคนหนึ่งให้เป็นไปในรูปแบบไหน
ปอล์ไม่ชอบคนที่พูดว่าเด็กสมัยนี้ไม่ดี ตอนที่คุณเป็นเด็กคุณก็ไม่ดีเหมือนกัน เพราะผู้ใหญ่ยุคก่อนหน้านั้นเขาก็พูดแบบนี้ ปอล์จะไม่สรุปว่าพ่อแม่สมัยก่อนดีกว่าสมัยนี้ ปอล์จะไม่ตัดสินคนแบบนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อแม่สมัยไหน คุณมีหน้าที่ที่จะต้องเลี้ยงดูลูกที่เกิดจากตัวคุณ ตระเตรียมให้เขาเป็นคนดีในสังคม บ้านปอล์ไม่เคยบอกด้วยซ้ำว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่เขาอยู่ด้วยตลอด เวลาที่มีปัญหา เขาก็คอยดูแล
ขอเปลี่ยนจากเรื่องหนักๆ มาคุยเรื่องหัวใจบ้าง ความรักตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ
ปกติค่ะ ปอล์โชคดีที่มีครอบครัวดี มีเพื่อนดี และคนที่ปอล์รักก็ดี
ทุกคนที่เข้ามาอยู่รอบตัวเป็นกัลยาณมิตรหมด ไม่มีใครที่เป็นคนทำผิดคิดร้าย ปอล์คงรับไม่ได้ถ้าต้องคบกับคนที่จิตใจต้องการแต่จะเอาชนะ เห็นคนอื่นไม่ดี หรือชอบดูถูกคนอื่น
มีคำแนะนำสำหรับน้องๆ แฟนๆ เกี่ยวกับความรักบ้างไหมคะ
ถ้าสังเกตจากการคุยกัน ปอล์ไม่ตัดสินใคร และจะไม่บอกอะไรใครเลย เพราะปอล์รู้สึกว่าทุกคนมีทางเลือกของตัวเอง ปอล์จะไม่บอกว่าชีวิตคุณแย่หรือคุณโง่มากที่ยังคบกับคนนี้ เพราะอย่างหนึ่งที่ได้เรียนรู้มาตลอดคือ ถ้าไม่เป็นตัวเองไม่รู้หรอก ดังนั้นใครจะทำอย่างไร มันชีวิตของเขาเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่คนโตๆ กันแล้วจะต้องมานั่งบอกกัน และถ้ามีลูก ปอล์ก็จะไม่บอกลูกว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แต่ปอล์จะอยู่กับเขา ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม และนี่คือวิธีที่ปอล์ปฏิบัติกับเพื่อน สมมติว่าถ้าเพื่อนรักคนนี้ แต่ปอล์เกลียดผู้ชายคนนี้มาก เราก็ไม่ว่า แต่ถ้าวันหนึ่งที่เพื่อนไม่ไหว ไม่เป็นไร เราอยู่ตรงนี้ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ปอล์จะไม่ยุ่งกับเขา ใครจะมีมุมมองชีวิตยังไง ทำไปเลย เพราะคนเรามองอะไรไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ทุกวันนี้มีความสุขกับชีวิตดีไหมคะ
มากค่ะ ปอล์ไม่เคยกลัวว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เพราะถ้าพรุ่งนี้ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่หวัง ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป ต้องหายใจต่อไป ถ้าไม่เป็นดาราก็ไปขายกาแฟได้ ออกไปทำอะไรก็ได้ ชีวิตไม่ต้องยิ่งใหญ่ ถ้าหากความยิ่งใหญ่จะทำให้เหนื่อยมาก ปอล์ขอไปดูหนังดีกว่าที่จะใช้เวลาอยู่ในสังคมที่ไม่ชอบเพื่อจะได้มีคอนเน็กชั่น หรือทำอะไรบางอย่างเพื่อความทะยานอยาก
สิ่งที่คิดอยู่เสมอในทุกวันนี้คือ แค่อยากทำชีวิตให้ดี ดีในแบบของปอล์คือ เราได้อะไรมาเยอะ ทั้งการมีชีวิตที่ดี ได้อยู่ในครอบครัวที่ดี ในสังคมที่ดี มีหน้าที่การงานที่ดี ดังนั้น ปอล์เลยอยากจะคืนอะไรให้สังคมบ้าง ปอล์กับพี่อ้อม-สุนิสา มีกลุ่มของตัวเองชื่อ “บุญพาวาสนาส่ง” เราสองคนพยายามดูว่ามีเหตุอะไรที่เราจะไปช่วยเหลือใครได้บ้าง
อยากทราบว่าสาวสมัยใหม่ท่าทางเปรี้ยวจี๊ดอย่างคุณโอปอล์ เชื่อเรื่องชาติหน้าไหมคะ
ในความเชื่อของปอล์นะคะ ตามหลักพุทธศาสนา เราไม่ได้เกิดมาแค่ชาตินี้ชาติเดียว เพราะตอนบวช ปอล์ได้อ่านพระไตรปิฎก ปอล์ไม่ใช่คนที่จะฟังตามกันมาหรือฟังจากพระเกจิแล้วเชื่อเลย แต่ปอล์ตีความจากพระไตรปิฎก ถ้าได้ศึกษาธรรมะและใจกว้างพอ จะรู้ว่านี่ไม่ใช่ชาติแรกและชาติเดียว
ถ้าจะถามว่าเป้าหมายในชีวิตของคุณโอปอล์คืออะไรคะ
ครอบครัวเป็นเป้าหมายหลักในชีวิตของปอล์ แกนหลักคือพ่อแม่และน้อง ดังนั้นตั้งแต่เด็กจนโต ต่อให้ไม่ได้ทำอาชีพนี้ ต่อให้ไม่ต้องเลี้ยงดูเขา ปอล์ก็ไม่เคยทำให้เขาเสียใจ ปอล์ว่าลูกทุกคนไม่ต้องซื้อบ้านให้พ่อแม่ก็ได้ ไม่ต้องเลี้ยงดูให้เขาร่ำรวยด้วยเงินทอง แต่อย่างน้อยอย่าทำให้เขาเสียใจ อย่าทำให้เขารู้สึกว่าทำให้เราเกิดมาเสียชาติเกิด หรืออย่าสร้างภาระให้เขา ให้เขาภูมิใจที่มีเรา แค่นี้ปอว่าก็พอแล้วนะ
เท่าที่บทสนทนาพาไป จะเห็นได้ว่าอีกมุมหนึ่งของผู้หญิงเปรี้ยวซ่าคนนี้ไม่ได้ตลกไร้สาระตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้ดราม่าฟูมฟาย และธรรมะกับการเลี้ยงดูที่ดีจากครอบครัวนี่เองที่เป็นภูมิคุ้มกันให้เธอไม่ยี่หระกับความทุกข์ เหมือนที่เธอพูดว่า “ถึงชีวิตจะดราม่า แต่อย่าดราม่ากับชีวิต”
ขอขอบคุณ : http://www.secret-thai.com/article/1887/opal-panisara/
I don’t care!โอปอล์ ปาณิสรา พิมพ์ปรุ “ถึงชีวิตจะดราม่า แต่อย่าดราม่ากับชีวิต”
Reviewed by Paulyn
on
04:59
Rating:

ไม่มีความคิดเห็น